ผมคิดว่าเราน่าจะจัดวันกัญชาประจำปีนะครับ
ระเว้นกฏ และบทลงโทษให้ประชาชนหันมาเสพกัญชาซักวัน
รับรองวันนั้นคนจะมีความสุขทั้งชาติ มาช่วยกันนะครับ เพื่อชาติ!

ผมขอหยิบหนังสือที่ชื่อว่า The Science of Marijuana เขียนโดย Leslie L. Iverson อาจารย์ภาควิชา เภสัชศาสต์ มหาวิทยาลัย Cambridge ประเทศอังกฤษมากล่าวอ้างนะครับ
ในหนังสือได้ทำการ Review การศึกษากัญชาในระดับนานาชาติ ทั้งทางด้านแล็บทดลองและการวิจัยภาคปฎิบัติมากว่า 10 ปี พบว่า ผู้คนกลุ่มใหญ่ที่ใช้กัญชา มีเพียง 10-15% ที่จะใช้มากขึ้นจนเป็น Heavy Smoker (ผู้สูบหนัก) และ มีเพียง 9% ของผู้ที่ใช้กัญชามากขึ้นจากกลุ่ม 10% ข้างต้น จะไปสู่การเสพติดกัญชา
กลุ่มคนกลุ่มใหญ่ที่ได้เคยลองใช้กัญชา ไม่ปรากฎว่ามีการเสพติดกัญชาแต่อย่างใด มีเพียงคนกลุ่มน้อยมากๆที่มีปัญหาในการหยุดกัญชา และผลข้างเคียงจากการหยุดกัญชามีเพียง ภาวะวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และปัญหาทางเดินอาหาร (ท้องเสีย)
เมื่อเปรียบเทียบผู้เสพติดกัญชาจากยาเสพติดอื่นๆจะพบว่ามีอัตตราส่วนที่น้อยมาก บุหรี่ มีผู้เสพติดถึง 32% เฮโลอีน 23% โคเคน 17% และแอลกอฮอล์ 15%
การเสพกัญชายังมีอันตรายน้อยกว่ายาเสพติดข้างต้นเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นการเลิกเสพกัญชายังเป็นสิ่งที่ง่ายกว่าการเลิกสูบบุหรี่
Leslie L. Iverson สรุปว่ากัญชานั้นไม่ได้เป็นยาเสพติดสำหรับคนกลุ่มใหญ่ที่ใช้กัญชาในการผ่อนคลายและวัตถุประสงค์ทางสังคม พูดง่ายๆคือ 10-15% จากผู้ใช้กัญชาทั้งหมด คือ Heavy Smoker และ 9% ของ Heavy Smoker นั้นคือผู้ที่ติดกัญชา และผู้ที่เสพติดกัญชานั้นคือกลุ่มคนที่ไม่รู้จักกับกลไกในการจัดการกับปัญหาของตนเอง จึงหันมาพึ่งกัญชาแทนการแก้ปัญหา และนำไปสู่การเสพติดกัญชา
มาถึงตรงนี้ผู้ที่ใช้กัญชาทั้งหลายควรหันมาสำรวจตัวเองว่าคุณอยู่ในกลุ่มใหนของผู้ใช้กัญชา ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่มีแนวโน้มที่จะเป็นผู้เสพติดกัญชา คุณควรหยุดและลุกขึ้นมาจัดการปัญหาของคุณซะ ก่อนที่คุณจะกลายเป็น Loser ผู้เสพติดกัญชา
ข้อมูล: The Science of Marijuana By Leslie L. Iverson
ที่มา: https://th-th.facebook.com/legalizethailand/photos/a.309701919177201.1073741828.309387789208614/346411525506240/?type=1&relevant_count=1
http://world.kapook.com/pin/53f5dadf38217a312f000000
http://board.postjung.com/801065.html