
เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 29 ก.ย. ที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.อุดรธานี นายนวคม เสมา เลขาธิการสภาเครือข่ายประชาชน จ.อุดรธานี นำนางคำ (นามสมมติ) อายุ 46 ปี นางน้อย (นามสมมติ) อายุ 48 ปี และนางสี (นามสมมติ) อายุ 36 ปี อยู่ ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี และลูกสาว ด.ญ. ต้อย (นามสมมติ) อายุ 15 ปี ด.ญ.แต๋ว (นามสมมติ) อายุ 13 ปี และ ด.ญ.ต๋อย (นามสมมติ) อายุ 12 ปี เข้าร้องเรียนต่อ นายสุทธินันท์ บุญมี รอง ผวจ.อุดรธานี กรณี ด.ญทั้งสามคน ถูกนายสมดี อายุ 80 ปี รปภ.โกดังมันสำปะหลัง ราษฎรบ้านหนองนาคำ ต.หนองนาคำ อ.เมือง จ.อุดรธานี ข่มขืนกระทำชำเรา และนำไปเร่ขายให้เฒ่าตัณหากลับอีกหลายคน ในลักษณะเป็นธุระจัดหา แต่คดีไม่คืบหน้า แถมยังถูกผู้ต้องหาข่มขู่เด็กหญิงทั้ง 3 คน และพยานบุคคล จึงมาร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว
นางคำ เปิดเผยว่า พวกตนมีอาชีพรับจ้าง หาเช้ากินค่ำ มีฐานะยากจน ส่วนลูกสาวและหลานทั้งสองคน เรียนหนังสือชั้น ม.3 ม.2 และ ม.1 โรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อเดือนมีนาคม 2557 เด็กทั้ง 3 คน ถูกนายสมดี ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ล่อลวงไปช่วยถอนหญ้า แล้วข่มขืนกระทำชำเราที่กระท่อมนาท้ายหมู่บ้าน เมื่อเสร็จกิจแล้วได้จ่ายเงิน 200-300 บาทให้ต่อคน ก่อนพูดจาข่มขู่ว่าห้ามไปบอกใคร มิฉะนั้นจะฆ่าให้ตาย หลังจากนั้นลูกและหลานสาวก็จะถูกเรียกไปสังเวยกามตลอด ที่หนักไปกว่านั้น นายสมดี ยังได้นำเด็กหญิงทั้ง 3 คน ไปเร่ขายให้เฒ่าตัณหากลับในหมู่บ้านและใกล้เคียงประมาณ 6 คน มีนายจ่อย นายหนัก นายหมอน นายทองเหลือง นายหยองและสารวัตรหมู่บ้านชื่อ จ่อย ไม่ทราบชื่อนามสกุลจริง ในลักษณะเป็นธุระจัดหา โดยจะข่มขู่ให้ ด.ญ.ทั้ง 3 ไปสังเวยกามตามกระท่อมนา สวนสมดี รีสอร์ต และโกดังโรงมันสำปะหลัง แลกกับเงิน 300-500 บาท โดยนายสมดี จะได้เงินค่าธุระจัดหาจากเฒ่าตัณหากลับ 500 บาท โดยนำเร่ขายตั้งแต่เดือนมีนาคม – กันยายน จนชาวบ้านเริ่มนินทาเข้าหูตน
นางคำ กล่าวต่อไปว่า จากนั้นตนจึงได้เรียกลูกสาวและหลานสาวมาสอบถามจนได้รู้ความจริง จึงได้นำลูกและหลานเข้าแจ้งความกับ ร.ต.อ.ชำนาญยุทธ ก้อนฆ้อง พงส.สภ.เมือง อุดรธานี เมื่อเวลา 23.00 น. วันที่ 9 กันยายน ที่ผ่านมา ตำรวจได้นำ ด.ญ.ทั้งสามคนไปตรวจร่างกายที่ ร.พ.ศูนย์อุดรธานี และให้กลับบ้านได้
ส่วนนายสมดี เมื่อทราบว่า พวกตนมาแจ้งความดำเนินคดี ก็ได้ออกมาข่มขู่ว่า “ถ้ากูรอดมาได้ กูจะฟ้องกลับพวกมึงเอาคืนเป็นร้อยเท่า” แถมยังข่มขู่จะฆ่าเด็กหญิงทั้ง 3 คนอีก และห้ามพยานบุคคล มาให้ปากคำกับตำรวจอีก พวกตนได้นำเด็กหญิงทั้งสามไปซุกซ่อนไว้บ้านญาติ เพราะเกรงจะได้รับอันตราย สุดท้ายลูกสาวและหลานต้องออกจากโรงเรียน เพราะทนแรงกดดันของสังคมไม่ได้
นางคำ กล่าวต่อว่า ต่อมาพวกตนได้รับโทรศัพท์จากพนักงานสอบสวน ให้นำเด็กทั้งสามมาสอบปากคำต่อหน้าสหวิชาชีพ ตำรวจ อัยการ นักสงคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา ที่โรงพักในเวลากลางคืน โดยให้เหตุผลว่า “กลัวนักข่าวรู้แล้วมาทำข่าว” เมื่อพวกตนไปถึงก็ไม่พบพนักงานสอบสวน รอจนกระทั่งดึกดื่น เมื่อโทรศัพท์สอบถาม ก็ไม่รับสาย เป็นเช่นนี้อยู่ประมาณ 3 ครั้ง บางครั้งก็อ้างว่าป่วย บางครั้งก็อ้างว่าอยู่ต่างจังหวัด เมื่อถูกนายสมดีข่มขู่บ่อยครั้ง จึงได้โทรศัพท์มาถามตำรวจว่า เมื่อไหร่จะจับกุมนายสมดี ตำรวจก็บอกผลการตรวจที่ส่งไป จ.ขอนแก่น ยังไม่มา ออกหมายจับยังไม่ได้ ตนเกรงว่าจะได้รับอันตราย จึงได้ปรึกษาเลขาธิการเครือข่ายประชาชน ให้ช่วยเหลือดังกล่าว
หลังได้รับการร้องเรียน นายสุทธินันท์ ได้มีคำสั่งให้เชิญ นายณรงค์ คงคำ พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.อุดรธานี พ.ต.อ.จักฎ์กฤษณ์ จันทร์รัตน์ รอง ผบก.ภ.จ.อุดรธานี รรท.ผกก.สภ.เมืองอุดรธานี เรียก ร.ต.อ.ชำนาญยุทธ ก้อนฆ้อง พงส.สภ.เมือง อุดรธานี พงส.เจ้าของคดี มาสอบถามและชี้แจงความคืบหน้าของคดี เพื่อหาทางแก้ไขความเดือดร้อนต่อหน้าผู้เสียหายพร้อมกัน ที่ห้องคำชะโนด ศาลากลางจังหวัดอุดรธานี ซึ่งก็กล่าวว่า หลังได้รับแจ้ง ได้สอบปากคำผู้เสียหาย ผู้ปกครอง และเด็ก 3 คน วันที่ 12 กันยายน ได้ออกหมายเรียกนายสมดี มารับทราบข้อกล่าวหา เนื่องจากเด็กมีอายุแตกต่างกัน 12-15 ปี จึงแจ้งข้อหากล่าวหา 7 ข้อ คือ
1.พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย 2.พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเพื่อการอนาจารแม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม 3.พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ดูแล ผู้ปกครองเพื่อการอนาจาร 4.กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีตน โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมหรือไม่ก็ตาม 5.พาบุคคลอายุไม่เกินสิบห้าปี ไปเพื่อการอนาจาร 6.กระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งมิใช่ภริยาหรือสามีตน โดยเด็กหญิงนั้นยินยอมหรือไม่ก็ตาม 7.ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยขู่เข็ญด้วยประการใดๆ โดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นไม่สามารถขัดขืนได้
จากการสอบสวนนายสมดี ได้รับสารภาพ 2 ข้อกล่าวหา คือ พาบุคคลอายุเกินสิบห้าปีแต่ยังไม่เกินสิบแปดปี ไปเพื่อการอนาจาร แม้ผู้นั้นจะยินยอมก็ตาม และพาบุคคลอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร และปฎิเสธข้อกล่าวหาที่เหลือ นำตัวไปขออำนาจศาลควบคุมตัว ศาลสั่งให้ควบคุมตัวได้ แต่ผู้ต้องหายื่นหลักทรัพย์ประกันตัวออกไป ขณะนี้ อยู่ระหว่างการเตรียมสอบปากคำผู้เสียหายคือเด็กทั้งสามคน ซึ่งต้องสอบต่อหน้าสหวิชาชีพ จึงอยู่ในระหว่างการนัดหมาย
หลังจากฟังคำชี้แจงแล้ว พ.ต.อ.จักฎ์กฤษณ์ ได้ชี้แจงต่อ รอง ผวจ.อุดรธานี ว่า เพื่อให้คดีดำเนินไปอย่างรวดเร็วตามความประสงค์ของผู้ร้อง จึงสมควรที่จะเปลี่ยนแปลงพนักงานสอบสวน โดยมอบหมายให้ พ.ต.อ.บรรจบ สีหานาวี พงส.ผู้ทรงคุณวุฒิ สภ.เมือง อุดรธานี ทำหน้าแทน ซึ่งจะมีความคล่องตัวมากกว่า และสามารถดำเนินการสอบปากคำวันนี้ ได้ทันที ส่วนการที่ผู้เสียหายระบุว่าถูกข่มขู่ ก็จะลงไปดูรายละเอียด หากเป็นเรื่องจริง พนักงานสอบสวนสามารถร้องคัดค้านต่อศาล ให้ยกเลิกการประกันตัวได้
เวลาต่อมา นายเสนีย์ จิตตเกษม ผวจ.อุดรธานี หลังทราบข่าวได้ให้ความสนใจ จึงได้เดินทางเข้ามารับทราบข้อเท็จจริง พร้อมกับกล่าวว่า การที่ผู้ต้องหามาปรากฎตัวถึงบ้านผู้เสียหาย การแสดงดังกล่าว เสมือนว่าเป็นการข่มขู่ได้เหมือนกัน ต้องให้พนักงานสอบสวนดูรายละเอียด หากเข้าข่ายเป็นการข่มขู่ ก็จะต้องปฎิบัติตามอำนาจหน้าที่ อย่างเต็มที่
ทีมา : Khaosod